ได้มีโอกาสร่วมคณะสื่อมวลชนเชียงใหม่เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน
ตามคำเชิญของสถานกงสุลสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำเชียงใหม่ ซึ่งนำทีมโดยนายเฉา เสี่ยวเหลียง
กงสุลใหญ่คนปัจจุบัน
ที่ได้มาสร้างความเปลี่ยนแปลงและสร้างมิติใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครเคยทำมาก่อน
ในการเชิญสื่อมวลชนเป็นคณะเดินทางไปทัศนศึกษายังประเทศของตนเองถึง 2 รอบคือ รอบแรกเมื่อเดือนธันวาคม
2557 จากเชียงของตามเส้นทาง R3A ไปสิ้นสุดที่นครคุนหมิง และรอบที่ 2 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2558 ที่มหานครปักกิ่ง
เมืองกวางโจ และเมืองเสิ่นเจิ้น
แน่นอน
การเดินทางไปศึกษาดูงานต่างประเทศ ถือเป็นการไปดูบ้านดูเมือง ดูสภาพสิ่งแวดล้อม
ดูการบริหารจัดการของประเทศนั้นๆ
เพื่อนำเอาสิ่งที่ดีที่เหมาะที่ควรมาปรับใช้กับบ้านเมืองเราตามหน้าที่การงานที่ตนเองรับผิดชอบ
ประโยชน์ก็จะตกแต่บ้านเมือง ซึ่งทุกประเทศยอมลงทุนจัดสรรงบประมาณให้บุคลากรได้ไปศึกษาดูงานกันอยู่เนืองๆ
มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ความพร้อมและสถานการณ์ของตนเอง
แต่การได้ไปศึกษาดูงานสาธารณรัฐประชาชนจีน 2 ครั้งในรอบ 2 ปีของคณะสื่อมวลชนเชียงใหม่และภาคเหนือนี้
ทางการจีนนอกจากได้เชิญอย่างสมเกียรติแล้ว ยังสนับสนุนงบประมาณมาดำเนินการเองโดยทางเราไม่ได้สิ้นเปลืองเงินทองแม้แต่บาทเดียว
วัตถุประสงค์หลักของการเชิญสื่อมวลชนไปทัศนศึกษายังประเทศจีนครั้งนี้
เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 40 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกัน
ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน
เพื่อสานความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอยู่แล้ว ให้สนิทแนบแน่นเข้าไปอีก
จีนนั้นเป็นประเทศใหญ่
อะไรๆก็ต้องใหญ่ตามขนาดและจำนวนประชากรของประเทศ จะมาทำเล็กๆกระจุ๋มกระจิ๋มก็คงจะไม่สมศักดิ์ศรีเป็นแน่
เท่าที่ได้พบได้เห็นมากับตาที่พอจะยกมาเป็นตัวอย่างของความใหญ่อลังการในเมืองจีนก็อย่างเช่น
กำแพงเมืองจีน กำแพงที่ก่อสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 2,500 ปีมาแล้ว
มีความยาวนับหมื่นกิโลเมตรจึงได้ชื่อว่า กำแพงยาวหมื่นลี้ เมื่อได้เห็นกับตาก็ให้ประหลาดใจเหลือเกินว่า
กำแพงกว้าง 5 เมตร สูง 7 เมตร ยาวเป็นหมื่นกิโลเมตร สร้างผ่านพื้นที่แตกต่างกันไปตามภูมิประเทศโดยเฉพาะบนเขาสูงชันที่แม้แต่จะเดินขึ้นตัวเปล่ายังลำบาก
ขณะที่เครื่องทุ่นแรงเมื่อ 2-3 พันปีจะมีซักเท่าไร แล้วคนสมัยนั้นเขาทำกันได้อย่างไร
พื้นที่การเกษตรขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นกล้วยหอม ผักสวนครัว หรือยางพารา
เมื่อเข้าสู่พื้นที่พืชชนิดใดก็จะมีเฉพาะพืชนั้นปลูกต่อเนื่องกันยาวจนสุดสายตา
บ้านเมืองเราบางแห่งว่าแปลงใหญ่แล้ว
หากเทียบกับที่เห็นในเมืองจีนจะรู้สึกว่าของเราเล็กไปเลย
จัตุรัสเทียนอันเหมิน ลานอเนกประสงค์ใจกลางเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีขนาดกว้าง 500
เมตร ยาว 880 เมตร พื้นที่ 440,000 ตารางเมตร สามารถจุคนได้ไม่น้อยกว่า 1 ล้านคน
อะไรจะปานนั้น ซ้ำยังตั้งอยู่กลางมหานครปักกิ่ง เมืองหลวงของจีนอีกด้วย
แคนตัน ทีวี ทาวเวอร์ หรือกวางโจวทาวเวอร์ อาคารทรงกระบอกมีกิ่วตรงกลางที่มีความสูงรวมเสาอากาศถึง
600 เมตร เป็น 1 ในอาคารที่สูงที่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่นครกวางโจว มณฑลกวางตุ้ง
ที่นับเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจและความทะเยอทะยานที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
รถไฟความเร็วสูง กวางโจว เสิ่นเจิ้น เป็นรถไฟรูปทรงหัวกระสุน
ทำความเร็วได้สูงสุดที่เห็นตอนเดินทางคือ 305 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่เท่าที่ได้ฟังมาเห็นว่านั่นยังไม่ได้เร่งความเร็วที่สุด
เนื่องจากระยะทางเส้นดังกล่าวสั้นเกินกว่าจะใช้ความเร็วเต็มที่
เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งสำหรับความยิ่งใหญ่ของประเทศจีน
ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพ ความยิ่งใหญ่ และการเอาจริงเอาจัง ประกอบกับความเด็ดขาดในการบริหารจัดการ
ตั้งแต่สูงสุดลงมาทุกระดับ จึงได้ทำให้เมืองจีนประสบกับความยิ่งใหญ่ในหลายๆด้าน
แต่ถึงกระนั้น
ฝ่ายรัฐของทางการจีนเองก็ไม่เคยทะนงว่าตัวเองเป็นยักษ์ใหญ่ แต่กลับคิดเพียงว่า จีนเองก็ต้องพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าเคียงข้างพร้อมกันไปกับเพื่อนบ้านทั้งใกล้ทั้งไกล
หนึ่งในนั้นคือประเทศไทยของเรานี่แหละ
หากจะถามว่า เมืองไทยของเราทำอย่างจีนได้ไหม
คำตอบคือ “ได้” เราสามารถเอาเยี่ยงอย่างความเอาจริงเอาจัง คิดการใหญ่
ดำเนินการอย่างเป็นระบบ บริหารจัดการให้ดี
เข้มงวดกวดขันการใช้จ่ายงบประมาณอย่าให้รั่วไหล
ที่สำคัญต้องเด็ดขาดสำหรับการกระทำความผิดในลักษณะที่เป็นการจงใจหรือเกิดจากกมลสันดาน
ไม่ใช่เพราะความประมาทเลินเล่อ หากทำเช่นนั้นได้ แม้เราไม่สามารถที่จะทำอะไรให้ใหญ่โตเท่าจีนต้นแบบ
แต่หากเป็นแบบย่อลงตามอัตราส่วน เราก็ย่อมจะทำในสิ่งที่ใหญ่ๆในแบบของเราได้
****************
พยนต์ ยศสุพรหม – รายงาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น