All online

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ข่าว ; เผยที่มาส่วยป่าตอง ขอสิทธิเปิดถึงตี 3 แต่เปิดยันตี 5

(ภูเก็ต-ข่าวเศรษฐกิจธุรกิจ) ตำรวจภูธรภาค 8 ตั้งกรรมการสอบปัญหาส่วย โดยผู้การตำรวจภูเก็ตเผยตัวก่อเหตุสถานบันเทิงป่าตองขอเปิดแค่ตี 3 แต่เปิดถึงตี 5 เป็นช่องโหว่ให้เกิดปัญหามีนายตำรวจที่เข้าข่ายถูกร้อง 5 - 6 นาย  ขณะที่ ‘ศรีวราห์’ สั่ง บช.ภ.8 ตั้งกรรมการสืบข้อเท็จ ตำรวจ 15 นาย หลังพบจับต่างชาติแล้วไม่ส่งตัวให้ ตม. กำชับขันน็อตตำรวจทุกหน่วยพื้นที่ภูเก็ตให้กวดขันจับกุมต่างชาติที่ทำผิดกฎหมาย ส่วนโฆษก ตร.เผยพิษส่วย 100 ล้าน เด้ง พ.ต.อ.‘รองผู้การภูเก็ต’ เข้ากรุคู่ รอง ผกก.

เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2560 พล.ต.ต.ธีระพล ทิพย์เจริญ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงกรณีตำรวจภูธรภาค 8 และ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพรหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งแต่งตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีพนักงานสอบสวนตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตจำนวน 15 นาย กรณีสงสัยว่าจะกระทำผิดวินัยราชการ เนื่องจากไม่มีการส่งมอบตัวคนต่างด้าวที่ถูกดำเนินคดีต่างๆ และคดีถึงที่สุดแล้วให้กับด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดภูเก็ตเพื่อผลักดันออกนอกประเทศ ว่า เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา ทางตำรวจภูธรภาค 8 ได้ มีคำสั่งที่ 505/2560 แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง กรณีสงสัยว่าจะกระทำผิดวินัย เนื่องจากเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2560 ทางตำรวจภูธรภาค 8 ได้มีหนังสือถึงตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ให้ตรวจสอบข้อมูลคนต่างด้าวที่ต้องหาคดีอาญาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2559 - 31 ตุลาคม 2560 ว่ามีจำนวนกี่คดี คดีเกี่ยวกับอะไร รวมถึงผู้เสียหายและผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องหา ในการตรวจสอบจะต้องระบุเลขคดี ผู้ต้องหา วันเวลาที่เกิดเหตุ รวมทั้งชื่อของพนักงานสอบสวน

จากการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวของตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ในรายงานของตำรวจด่านตรวจคนเข้าเมืองพบว่าผู้ต้องหาซึ่งเป็นบุคคลต่างด้าว จำนวน 142 คน ไม่มีหลักฐานการรับตัวผู้ต้องหาของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองภูเก็ตแต่อย่างใด ซึ่งเป็นการไม่ปฏิบัติตามหนังสือสั่งการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติกรณีคนต่างด้าว หลังจากตรวจสอบข้อมูลพบว่า มีนายตำรวจซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนใน สภ.ต่างๆ เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จำนวน 15 คน จึงมีการตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงขึ้นมา 1 ชุด โดยมี พล.ต.ต.ธีรพล คุปตานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 เป็นประธาน มีระยะเวลาในการสืบสวนข้อเท็จจริงเป็นระยะเวลา 7 วัน การตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงในครั้งนี้ก็เพื่อสืบสวนหาที่มาที่ไปทั้งกรณีที่เกิดขึ้นว่า เหตุใดจึงไม่มีการรับมอบตัวผู้ต้องหาของด่านตรวจคนเข้าเมืองภูเก็ต

พล.ต.ต.ธีระพล ทิพย์เจริญ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ยังได้กล่าวต่อถึงกรณีการร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องการเรียกรับส่วยที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ว่า เรื่องดังกล่าวทางผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และตำรวจภูธรภาค 8 ได้สั่งการให้มีการตรวจสอบและสืบสวนข้อเท็จจริงเช่นกัน ซึ่งหากมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการเฉียบขาด รวมทั้งในกรณีที่เป็นบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่เจ้าหน้าที่จะต้องสืบสวนและจับกุมดำเนินคดีเช่นเดียวกัน ส่วนกรณีของผู้เสียหายก็สามารถมาแจ้งข้อเท็จจริงหรือไปฟ้องร้องดำเนินคดีเองก็ได้ ในขณะที่จังหวัดภูเก็ตขณะนี้กำลังเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว การดำเนินการต่างๆ จะต้องเป็นไปอย่างถูกต้องแต่ไม่กระทบกับการท่องเที่ยว  ซึ่งทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ได้ให้นโยบายว่า การดำเนินการใดๆจะต้องเข้าไปให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการ หากไม่ปฏิบัติตามก็ต้องดำเนินการไปตามที่ถูกที่ควร เพื่อไม่ให้กระทบกับการท่องเที่ยว

ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตกล่าวกล่าวต่อไปว่า ในกรณีสถานบันเทิงของจังหวัดภูเก็ตโดยเฉพาะป่าตองเคยมีการพูดคุยกันเรื่องการให้เปิดบริการได้จนถึงเวลา 03.00 น. แต่ก็ยังมีบางร้านเปิดจนถึงเวลา 05.00 น. ซึ่งกรณีดังกล่าวกลายเป็นช่องว่างให้ผู้มีอำนาจและผู้กระทำความผิดมีการเรียกรับผลประโยชน์กันได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ทราบว่า ขณะนี้ทางจเรตำรวจได้ลงพื้นที่เพื่อสืบสวนข้อเท็จจริงแล้ว เช่นเดียวกับตำรวจภูธรภาค 8 และตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตที่ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริง โดยเบื้องต้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกร้องเรียน 5 – 6 นาย ตั้งแต่ระดับรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต และนายตำรวจในพื้นที่ป่าตอง ซึ่งขณะนี้มีคำสั่งย้ายให้ไปช่วยราชการแล้ว 2 ราย

ในวันเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร (มค.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวในเฟซบุ๊ก โดยผู้ใช้นามว่า สปอร์ทไลท์ ภูเก็ต (Spotlight Phuket) ว่ามีข้าราชการตำรวจในสังกัดตำรวจตรวจคนเข้าเมือง, ตำรวจท่องเที่ยว, ตำรวจภูธรภาค 8 และหน่วยงานอื่นฯ เรียกรับผลประโยชน์จากผู้ประกอบการ และคนต่างด้าวโดยละเว้นไม่กวดขันจับกุมผู้กระทำความผิดดังกล่าวนั้น หากเป็นความจริงก็จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคง ซึ่งขัดต่อนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตนเองในฐานะที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้กำกับดูแลรับผิดชอบด้านความมั่นคง และหน่วยงานดังกล่าวข้างต้นได้สั่งการให้กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 และสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตรวจสอบข้อเท็จจริงและกวดขันจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างจริงจังตลอดมา ซึ่งได้รับรายงานจาก กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตว่าได้ตรวจพบว่าดำเนินคดีอาญากับผู้ต้องหาต่างด้าว จำนวน 142 ราย ในช่วงวันที่ 1 ตุลาคม 2559 - 31 ตุลาคม 2560 แต่ไม่พบหลักฐานการรับตัวผู้ต้องหาของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดภูเก็ต
ซึ่งไม่เป็นไปตามระเบียบ แนวทางปฏิบัติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีที่คนต่างด้าวตกเป็นผู้เสียหายหรือผู้ต้องหาในคดีอาญา หรือถึงแก่ความตายโดยผิดธรรมชาติ ตามหนังสือ ตร.ที่ 0029.132/ว.87 ลงวันที่ 12 พ.ย.2558 จึงได้สั่งการให้ กองบังการตำรวจภูธรภาค 8 ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงผู้เกี่ยวข้อง ตามคำสั่งที่ 505/2560 ลง 8 พ.ย.60 แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ข้าราชการตำรวจ จำนวน 15 คน ประกอบด้วย 1.พ.ต.ท.สมนึก ดำแก้ว สว.(สอบสวน) สภ.กมลา จ.ภูเก็ต 2.พ.ต.ท.สุรชัย จันทร์ณรงค์ สว.(สอบสวน) สภ.กมลา จ.ภูเก็ต 3.พ.ต.ท.บรรดาศักดิ์ ศรีเลิศ สว.(สอบสวน) สภ.สาคู จ.ภูเก็ต 4.พ.ต.ท.หญิง ณัฐธยาช์ สุวรรณพงศ์ สว.(สอบสวน) สภ.เมืองภูเก็ต 5.ร.ต.อ.ประเสริฐ ทองพรหม รอง สว.(สอบสวน) สภ.กมลา 6.ร.ต.อ.นิพนธ์ เต็มสังข์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.กะรน 7.ร.ต.อ.วิโชติ มีภพ รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองกระบี่ ปฎิบัติราชการ รอง สว.(สอบสวน) สภ.กะทู้ จ.ภูเก็ต 8.ร.ต.อ.วัฒนาทร บำรุงถิ่น รอง สว.(สอบสวน) สภ.กะทู้ 9.ร.ต.อ.ชาญณรงค์ ประคองเกื้อ รอง สว.(สอบสวน) สภ.กะรน 10.ร.ต.ท.สวรรยา เอียดตรง รอง สว.(สอบสวน) สภ.กะทู้ 11.ร.ต.ท.ธนาคาร อุชฌรัศมี รอง สว.(สอบสวน) สภ.สาคู 12.ร.ต.ท.สุระ เลิศไธสง รอง สว.(สอบสวน) สภ.สาคู 13.ร.ต.ท.จุลอัศว์ กิตตินนทิกร รอง สว.(สอบสวน) สภ.สวี จ.ชุมพร ปฏิบัติราชการ รอง สว.(สอบสวน) สภ.สาคู 14.ร.ต.ท.พชรธร จันทร์เอียด รอง สว.(สอบสวน) สภ.สาคู 15.ร.ต.ท.สุวิสิษฐ์ คีรีรักษ์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.กะรน โดยมี พล.ต.ต.ธีรพล คุปตานนท์ รอง ผบช.ภ.8 เป็นประธานคณะกรรมการฯ สำหรับคดีดังกล่าว เป็นของ สภ.สาคู 26 ราย สภ.กะรน 3 ราย สภ.กระทู้ 43 ราย และ สภ.กมลา 70 ราย รวม 142 ราย

พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า ยังได้สั่งการให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองภูเก็ต ระดมกวดขันจับกุมบุคคลต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และอยู่เกินระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งมีผลการจับกุม จำนวน 95 คน (ข้อมูล ณ 9 พ.ย.60) พร้อมกันนี้ก็ได้การกำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง กวดขันจับกุมผู้กระทำความผิดตามกฎหมายต่อไป

และในเช้าวันเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะโฆษก ตร. เปิดเผยถึงกรณีมีการร้องเรียนต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ช่วยประชาชนคนภูเก็ต ตรวจสอบความจริงเรื่องตำรวจท่องเที่ยวภูเก็ตรับส่วย และรีดไถผู้ประกอบการ นักท่องเที่ยว เดือนละกว่า 100 ล้านบาทว่า ล่าสุดตรวจสอบไปทาง พล.ต.ท.สรศักดิ์ เย็นเปรม รรท.ผบช.ภ.8 ว่า ทาง ภ.จว.ภูเก็ต มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ที่ถูกระบุในหนังสือร้องเรียน กล่าวหาว่า พัวพันส่วยดังกล่าวย้ายออกจากพื้นที่ไปช่วยราชการแล้ว โดยเป็นตำรวจระดับรองผู้บังคับการ 1 นาย ระดับรองผู้กำกับการ 1 นาย ในสังกัด ภ.จว.ภูเก็ต ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 8 จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อแสดงถึงความจริงใจและความพร้อมในการตรวจสอบ ไม่ให้คนที่ถูกกล่าวหาอยู่ในพื้นที่ ไม่กระทบการทำงานของทีมสืบสวน ทั้งนี้ ยังไม่สามารถระบุว่าตำรวจทั้ง 2 นาย มีความผิด ซึ่งทาง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้จเรตำรวจเข้าไปตรวจสอบร่วมกับทีมสืบสวนของตำรวจภูธรภาค 8 โดยจะเชิญผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมาให้ข้อมูล และคาดว่าจะได้ผลการตรวจสอบเร็วๆ นี้ โดยจเรตำรวจตรวจสอบทุกหน่วยที่ถูกกล่าวหา รวมทั้งตำรวจท่องเที่ยว ทั้งนี้คำสั่ง พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ อุ้ยคำ รอง ผบก.ภ.จ.ภูเก็ต พ.ต.ท.สมศักดิ์ ทองเกลี้ยง รอง ผกก.สส.สภ.ป่าตอง ไปช่วยราชการที่ ศปก.ภ.8 อย่างไม่มีกำหนด จนกว่าคณะกรรมการสอบสวนตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ เรื่องร้องเรียนเรียกเก็บผลประโยชน์กับสถานประกอบการ และส่วยแรงงานเถื่อน มีผลตั้งแต่วันที่ 9 พ.ย.60

ต่อข้อถามที่ว่า ปัจจุบันมีการตกลงการจ่ายส่วยรูปแบบใหม่ คือการบริจาคการกุศลเมื่อตำรวจมีการจัดงาน กิจกรรมต่างๆ แทนการจ่ายเงิน พล.ต.อ.วิระชัย กล่าวว่า เรื่องนี้จะตรวจสอบอย่างเต็มที่ หากพบว่าเจ้าหน้าที่ส่วนใดเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด หรือไม่ว่าจะมีการเรียกรับผลประโยชน์ในรูปแบบใดก็ตาม จะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ต้องเรียนประชาชนด้วยว่า การร่วมสนับสนุนภาครัฐในการจัดกิจกรรมต่างๆ นั้นถือเป็นเรื่องของการสนับสนุนภาครัฐ หน่วยงานราชการ ไม่ใช่ส่วยหรือการให้ผลประโยชน์ไม่สามารถใช้เป็นข้ออ้างในการกระทำผิดกฎหมายได้

*******************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น