ในที่ประชุมครั้งนี้ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้กล่าวสุนทรพจน์เป็นรายงานในหัวข้อเรื่อง การช่วงชิงชัยชนะของการสร้างสรรค์สังคมพอกินพอใช้อย่างทั่วถึง และการพัฒนาสังคมนิยมแบบมีอัตลักษณ์จีนในยุคสมัยใหม่ เป็นการสรุปการปรับปรุงเชิงประวัติศาสตร์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประเทศจีนในช่วง 5 ปี หลังสมัชชา 18 ซึ่งได้อธิบายแนวคิดสังคมนิยมแบบมีอัตลักษณ์จีนยุคใหม่ และความขัดแย้งหลักในสังคมจีนที่เกิดความเปลี่ยนแปลง พร้อมทั้งได้กำหนดทิศทางหลักที่จะยืนหยัดในการพัฒนาสังคมนิยมแบบมีอัตลักษณ์จีนต่อไป รายงานฉบับนี้ยังได้เปิดทิศทางใหม่ที่มุ่งสู่เป้าหมายครบรอบ 100 ปี 2 วาระ และทำให้ความฝันของประเทศจีนได้กลายเป็นความจริงตามที่รายงานฉบับนี้ได้กำหนดไว้ โดยประเทศจีนจะสร้างสรรค์สังคมพอกินพอใช้ให้เสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2020 สร้างสังคมิยมที่ทันสมัยให้เสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2035 และเมื่อถึงช่วงกลางศตวรรษที่ 21 ประเทศจีนจะกลายเป็นประเทศสังคมนิยมที่ทันสมัย มั่งคั่ง เข้มแข็ง มีอารยธรรมที่สมบูรณ์ กลมกลืน และสวยงาม
หลังจากการแสวงหาและใช้ความพยายามเป็นเวลายาวนานร่วมร้อยปี การพัฒนาของประเทศจีนได้ยืนอยู่ที่จุดเริ่มต้นใหม่เชิงประวัติศาสตร์ ประชาชาติจีนที่เคยผ่านความยากลำบากเป็นเวลายาวนานก็ได้บรรลุซึ่งการพัฒนาแบบก้าวกระโดดอย่างยิ่งใหญ่ หลังจากลุกขึ้นหยัดยืนสถาปนาประเทศมาอย่างช้านานจนสร้างความมั่งคั่ง เข้มแข็ง และพบกับอนาคตอันรุ่งโรจน์ ที่จะฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองแห่งประชาชาติ นับตั้งแต่การประชุมสมัชชา 18 เป็นต้นมา ประเทศจีนได้จัดการกับปัญหามากมายที่ไม่ได้รับการแก้ไขมาอย่างยาวนาน และประสบความสำเร็จกับการแก้ไขในสิ่งที่อยากทำซึ่งในอดีตแต่ไม่สามารถทำได้ อาทิ การบริหารควบคุมพรรคฯด้วยวินัยที่เข้มงวด การปฏิรูปอย่างแพร่หลาย การส่งเสริมการปกครองประเทศโดยกฎหมาย ความสามารถด้านเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การป้องกันประเทศ และบทบาทระหว่างประเทศ ล้วนได้รับการยกระดับอย่างเห็นได้ชัด
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนได้เติบโตในระดับปานกลางและเพิ่มสูงขึ้น ในปี 2013-2016 GDP ของประเทศจีนได้เติบโตถึง 7.2% ต่อปีโดยเฉลี่ย ซึ่งได้สร้างคุณูปการต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกมากกว่า 30% ในขณะที่เศรษฐกิจจีนมีสัดส่วนประมาณ 15% ของเศรษฐกิจโลก สำหรับในปี 2017 นี้คาดว่า GDP ของประเทศจีนจะขยายตัวประมาณ 6.7% และเศรษฐกิจจีนจะมีมูลค่าสูงถึง 80 ล้านล้านหยวน หรือเทียบเท่า 12ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ซึ่งยังคงเป็นอันดับที่ 2 ของโลก
นอกจากนั้น ในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ระบบโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาเทคโนโลยีชั้นสูงของจีนมีความคืบหน้าอย่างรวดเร็ว โดยทางหลวงมีระยะทางรวมกว่า 130,000 หมื่นกิโลเมตร ส่วนเส้นทางรถไฟความเร็วสูงมีระยะทางถึง 23,000 กิโลเมตร ซึ่งทั้งสองอย่างนี้นับเป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เส้นทางรถไฟความเร็วสูงมีระยะทางยาวที่สุดในโลก นอกจากนั้น ประเทศจีนได้ทุ่มเทกำลังส่งเสริมนวัตกรรม และมีการเปิดตัวผลงานทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีมากมาย อาทิ ห้องทดลองอวกาศ "เทียนกง" เครื่องสำรวจดำน้ำทะเลลึกพร้อมมนุษย์ "เจียวหลง" กล้องโทรทรรศน์วิทยุฟาสต์ ซึ่งเป็นกล้องโทรทรรศน์วิทยุขนาดใหญ่ที่สุดในโลกได้สมญานามว่า "ดวงตาแห่งจักรวาล" ดาวเทียม "อู้คง" ที่ค้นหาอนุภาคของสสารมืด ดาวเทียมทดลองควอนตัม "โม่จื่อ" ดวงแรกของโลก รถไฟความเร็วสูง "ฟู่ซิง" เรือบรรทุกเครื่องบินที่ผลิตในประเทศจีนลำแรก และเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ รุ่น C919 เป็นต้น
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น จำนวนประชากรในชนบทที่ยากจนของจีนมีจำนวนลดลงจาก 100 ล้านคนในปี 2012 มาเป็น 43.35 ล้านคนในปีนี้ ซึ่งลดลงโดยเฉลี่ยปีละ 14 ล้านคน ทั้งนี้ ตั้งแต่มีการปฏิรูปและเปิดประเทศจีนเป็นเวลา 40 ปี ได้ทำให้ประชาชน 700 ล้านคนพ้นจากความยากจน เป็นการสร้างสรรค์ประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อการแก้ไขปัญหาความยากจนสูงถึง 70% ทั้งนี้ จีนยังมุ่งหน้าสร้างอารยธรรมระบบนิเวศอย่างแน่วแน่ ภายใต้แนวคิด "น้ำใส เขาเขียว ก็คือภูเขาเงินทอง" ซึ่งขณะนี้แนวคิดดังกล่าวได้ซึมซับเข้าไปอยู่ในหัวใจของประชาชนจีนทุกหมู่เหล่าเรียบร้อยแล้ว
ทางด้านการแก้ไขปัญหาสังคมนั้น พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ประสบความสำเร็จในการบริหารควบคุมพรรคด้วยวินัยที่เข้มงวด ภายใต้แนวคิด "ล่าเสือ" "ปัดแมลงวัน" "ล่าสุนัขจิ้งจอก" ซึ่งได้มีการปราบปรามคอรัปชั่นในทุกระดับ นับตั้นแต่ผู้บริหารระดับสูงลงมาจนถึงเจ้าหน้าที่ระดับล่าง พร้อมติดตามจับกุมผู้ทุจริตที่หลบหนีไปต่างประเทศมาลงโทษอย่างเด็ดขาด พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ปราบปรามการทุจริตอย่างเข้มงวด ยึดถือวินัย ปฏิบัติตามหน้าที่และกฏระเบียบ สามารถสร้างกลไกในการป้องปรามที่ทำให้เกิดความเกรงกลัว ไม่กล้าทุจริต ไม่สามารถทุจริต และไม่อยากทุจริต ซึ่งได้แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่สามารถปฏิรูปและพัฒนาตนให้ดียิ่งขึ้น เป็นการสร้างพื้นฐานการเมืองให้มีความมั่นคงยิ่งขึ้น
ส่วนด้านการต่างประเทศที่มีอัตลักษณ์ของจีนนั้น ในระยะเวลา 5 ปีดังกล่าวปรากฏว่ามีความก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง โดยได้มีการส่งเสริมการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบใหม่ ภายใต้หลักการ "ชนะร่วมกัน" เป็นใจกลาง และทุ่มเทกำลังเพื่อสร้างประชาคมร่วมชะตากรรมของมนุษยชาติ ซึ่งสอดคล้องกับกระแสของยุคสมัยแห่งสันติภาพ การพัฒนา ความร่วมมือ และประสบความสำเร็จในการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค การประชุมผู้นำกลุ่มประเทศ G20 ที่เมืองหางโจว เวทีประชุมหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ และการประชุมสุดยอดประเทศสมาชิก BRICS เหล่านี้ประเทศจีนล้วนได้นำเสนอแนวคิดและแผนปฏิบัติงานต่อประชาคมระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น นับเป็นการสร้างคุณประโยชน์อย่างใหญ่หลวงในความก้าวหน้าของอารยธรรมการพัฒนาโดยสันติวิธีของมนุษยชน ในขณะเดียวกัน ประเทศจีนยังคงเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เคยกล่าวไว้ว่า การเปิดกว้างของประเทศจีนพร้อมทั้งการปฏิรูปจะไม่หยุดยั้ง เพื่อมุ่งเน้นพัฒนาเศรษฐกิจให้เป็นศูนย์กลางสำคัญในการแก้ไขปัญหาทั้งปวง
และเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2017 ที่ผ่านมา นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนจีนประจำประเทศไทยว่า สมัชชา 19 มีความหมายสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาของโลกอย่างมาก และยังชี้ว่า จีนไทยต้องคบค้า ต้องพึ่งพาอาศัยและเป็นมิตรกัน ไทยจะต้องศึกษาประสบการณ์ของจีนอย่างจริงจังเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ
ประเทศจีนและประเทศไทย ล้วนมีความสำคัญในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีสัมพันธไมตรีมายาวนานเป็นระยะเวลาถึง 42 ปี นับตั้งแต่ได้มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต จีนและไทยได้พัฒนาความสัมพันธ์ฉันมิตรด้วยดีตลอดมา ความเชื่อถือด้านการเมือง ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ และการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมระหว่างจีนไทย ล้วนได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ข้อเสนอหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีนสอดคล้องกับนโยบาย ไทยแลนด์ 4.0 และโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)ของไทย ทำให้ความร่วมมือระหว่างจีนไทยมีศักยภาพสูงขึ้น และหลังจากประเทศจีนได้นำเสนอหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง การค้าระหว่างทั้งสองประเทศก็เพิ่มขึ้นและเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2014-2016 ทั้งนี้ ในครึ่งแรกของปี 2017 ยอดการค้าระหว่างจีนกับไทยมีมากถึง 3.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 11.8% จากปีที่แล้ว ในขณะที่โครงการรถไฟความเร็วสูงจีน-ไทย ก็กำลังจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ซึ่งจีนยังคงเป็นแหล่งนักท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดของไทย นับในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมายังประเทศไทยถึง 5.65 ล้านคน สร้างรายได้ให้แก่ประเทศไทยประมาณ 584 ล้านหยวน
สำหรับในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย นับว่าเป็นภูมิภาคที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศจีนเป็นอย่างมาก ทั้งด้านภูมิศาสตร์และความคล้ายคลึงกันทางวัฒนธรรม ทำให้ความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในหลายด้าน อาทิ การค้า การท่องเที่ยว การเป็นบ้านพี่เมืองน้อง ตลอดจนการศึกษาและวัฒนธรรม นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา คณะผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ คณะตำรวจ และคณะหน่วยงานต่างๆ ได้เดินทางไปเยือนประเทศจีนอย่างเป็นทางการอย่างสม่ำเสมอ ในขณะเดียวกัน คณะกระทรวงการเกษตรจีน คณะทบวงการท่องเที่ยวแห่งชาติจีน คณะจากมณฑลซานซี ยูนนาน ไหหลำ ทิเบต และซานตง ก็ได้เดินทามาเยือนภาคเหนือของไทยเช่นกันเช่นกัน ปัจจุบัน จังหวัดเชียงใหม่มีเที่ยวบินบินตรงกับเมืองต่างๆ ของจีนทั้งหมด 15 เที่ยวบิน ซึ่งเมื่อปี 2016 นักท่องเที่ยวจีนจำนวน 8.7 ล้านคนเดินทางมายังประเทศไทย โดยมีนักท่องเที่ยว 1.5 ล้านคนเดินทางมาภาคเหนือ นอกจากนี้ ที่ภาคเหนือของไทยได้เปิดสถาบันขงจื้อ 2 แห่ง และห้องเรียนขงจื้อ 4 แห่ง มีครูสอนภาษาจีน 400 คน และนักเรียนนักศึกษาจากจีน กว่า 7,000 คน ซึ่งประเทศจีนมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะร่วมมือในด้านการท่องเที่ยว พลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน การเกษตร และอื่นๆ กับภาคเหนือของไทย เพื่อสร้างเชียงใหม่ให้เป็นศูนย์กลางของภาคเหนือจนถึงอาเซียนอีกด้วย
เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา สถานกงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำเชียงใหม่ ได้เป็นเจ้าภาพจัดสัมมนานานาชาติในหัวข้อ หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางและความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง มีตัวแทนกว่า 400 คนจากภาครัฐ นักวิชาการ นักธุรกิจ และสื่อมวลชนเข้าร่วมสัมมนาพร้อมหารือกันในเรื่องส่งเสริมความร่วมมือในลุ่มแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง เชื่อมโยงกลยุทธ์การพัฒนาของทั้งสองประเทศ เสนอแนะความร่วมมือในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีชั้นสูง อี-คอมเมิร์ช ด้านวัฒนธรรมการท่องเที่ยวและการศึกษา โดยการสัมมนาครั้งนี้นับได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก
ในปีนี้ เป็นปีครบรอบ 68 ปีแห่งการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน และครบรอบ 42 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและไทย ความสัมพันธ์ หุ้นส่วนยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านระหว่างจีนไทยยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง คำกล่าวที่ว่า "จีนไทยดั่งพี่น้องกัน" ยังคงซึมซับเข้าไปอยู่ในหัวใจของประชาชนชาวจีนและไทย ประธานธิบดี สี จิ้นผิง ได้กล่าวในที่ประชุมสมัชชา 19 ไว้ว่า ประตูบานใหญ่ของประเทศจีนจะไม่มีวันปิดลง แต่จะเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น ประเทศจีนจะใช้ข้อเสนอหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ในการนำร่องเชื่อมโยงทั้งทางบกและทางทะเลเพื่อพัฒนาสู่เส้นทางตะวันออกและตะวันตก ความสัมพันธ์จีนไทยเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศจีนให้ความสำคัญอย่างมากต่อสัมพันธไมตรีกับประเทศไทย เชื่อมั่นว่า ภายใต้หนึ่งแถบเส้นทาง ความร่วมมือระหว่างจีนกับไทยนั้นจะเจริญก้าวหน้า เพิ่มพูนผลประโยชน์ให้กับประเทศชาติและประชาชนของทั้งสองประเทศ ตลอดจนสร้างคุณูปการในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคสืบต่อไป
*****************
เหริน ยี่เซิง กงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำเชียงใหม่ - บท/ภาพ
พยนต์ ยศสุพรหม-เรียบเรียง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น