สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34 และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงใหม่เขต
1 ชี้แจงต่อหัวหน้าส่วนราชการจังหวัด กรณีมีว่าข่าวโรงเรียนเรียกรับเงินบริจาคสร้างความเดือดร้อนต่อผู้ปกครอง
“มานพ ดีมี” ยันไม่มีโรงเรียนใดเรียกรับเงิน
กรณีเข้าเรียนผ่านการสอบและจับสลากโปร่งใส แต่หลังได้เข้าเรียนแล้วโรงเรียนสามารถเรียกค่าบำรุงได้สูงสุดถึงหัวละ
4 หมื่น อ้างเรียนโปรแกรมภาษาอังกฤษ
ในการประชุมหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดเชียงใหม่
ครั้งที่ 5/2555 ที่หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2555
โดย ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผวจ.เชียงใหม่ เป็นประธาน มีเรื่องน่าสนใจในวาระที่ 4 นายมานพ ดีมี ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34 และนายชุมพล รัตน์เลิศลบ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต
1 ได้ชี้แจงต่อหัวหน้าส่วนราชการ กรณีการเรียกเก็บเงินเพื่อแลกสิทธิ์ในการเข้าศึกษาต่อของสถาบันการศึกษา
ปีการศึกษา 2555 ว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวทางสื่อมวลชน กรณีโรงเรียนในสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานรับนักเรียนทั้งในระดับมัธยมศึกษาปีที่
1 และมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในปีการศึกษา
2555 ไม่เป็นไปตามนโยบายและหลักเกณฑ์ในการรับนักเรียนของสานักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน
และมีข่าวที่เสนอสื่อมวลชนเกี่ยวกับการเรียกเงินเพื่อแลกสิทธิ์ในการเข้าเรียนต่อนั้น
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34 ได้ตรวจสอบแล้วพบว่าโรงเรียนในสังกัดไม่มีการดาเนินการในลักษณะดังกล่าวแต่อย่างใด
ทุกโรงเรียนในสังกัดได้ปฏิบัติตามนโยบายและหลักเกณฑ์การรับนักเรียนอย่างเคร่งครัด
ดังนั้นจึงขอรายงานสรุปผลการดาเนินการรับนักเรียน และตัวอย่างแนวทางการรับนักเรียนของโรงเรียนในสังกัดเพื่อโปรดทราบ
รวมทั้งแนวทางการระดมทรัพยากรและการเก็บเงินบำรุงการศึกษาฯ ตามประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ
เพื่อส่วนราชการต่าง ๆ จะได้เข้าใจ ซึ่งนายมานพ ดีมี ได้นำประกาศของ
สพฐ.เรื่องการรับนักเรียนเข้าเรียนปีการศึกษา 2555 รวม 12
ข้อแจกจ่ายให้หัวหน้าส่วนราชการ มีรายละเอียด อาทิ
นักเรียนชั้นบังคับทุกคนจะต้องมีที่เรียน ต้องประชาสัมพันธ์ระเบียบดังกล่าวให้ประชาชนทราบ
สำหรับห้องเรียนให้มีนักเรียน 40 คนขยายได้ไม่เกิน 50 คน การสนับสนุนทรัพยากร (บริจาค)
ทำได้หลังรับนักเรียนเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ สมศ.34
ได้แต่งตั้งคณะกรรมการรับนักเรียนระดับเขตการศึกษา เพื่อให้คำปรึกษา แนะนำ ดูแล
และอำนวยการให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
พร้อมกับจัดตั้งศูนย์ประสานงานนักเรียนกับสถานศึกษาทุกระดับที่มีนักเรียนจบ ป.6
และ ม.3 ได้เข้าเรียนตามความเหมาะสม 2 ศูนย์คือ ที่ สมศ. 34 ชั้น 4
ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ โทร. 053-112974 และศูนย์ประสานงานระดับกลุ่มโรงเรียน 7
กลุ่มมีที่ตั้งที่โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย, นวมินทราชูทิศพายัพ, ไชยปราการ, หางดงรัฐราษฎร์อุปถัมภ์,
จอมทอง, ห้องสอนศึกษา และแม่ลาน้อยดรุณสิกข์ ส่งเสริมคนพิการ
และคนมีความสามารถพิเศษได้เข้าเรียนตามความถนัด
และการรับนักเรียนทุกแห่งก็เป็นไปด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม ไม่มีการฝาก
การรับเรียกเงินใด ๆ ส่วนสถานศึกษาที่มีการแข่งขันสูง 4 แห่ง คือยุพราชวิทยาลัย
วัฒโนทัยพายัพ สันป่าตองวิทยาคม และจอมทอง มีการสอบคัดเลือกอย่างโปร่งใส
ตรวจสอบได้ รับรอบเดียว 50 คน/ห้อง ส่วนสถานศึกษาที่มีการจับสลากก็ทำอย่างโปร่งใส
การสอบหรือโควตาผู้มีพระคุณมีการประกาศอย่างชัดเจน
เพื่อไม่ให้มีการเรียกรับเงินหรือประโยชน์อื่นใดในช่วงรับนักเรียน
โดยนักเรียนในเขตพื้นที่ สมศ.34 ทุกคนต้องมีที่เรียน
สำหรับการรับนักเรียนในเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34 ระดับ ม.1
มีจำนวน 8,889 คน ม.4 จำนวน 10,886 คน ซึ่งตัวเลขนี้ยังไม่นิ่ง เพราะจะมีรายงานจากโรงเรียนครั้งสุดท้ายในวันที่
10 มิถุนายนนี้ นอกจากนั้น ในที่ประชุมหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดเชียงใหม่ยังได้รับแจกหลักเกณฑ์เงินบำรุงการศึกษา
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่าสถานศึกษาที่สอนตามหลักสูตรขั้นพื้นฐานไม่สามารถจะเรียกเก็บเงินสนับสนุนจากนักเรียนได้
เว้นแต่โรงเรียนจัดทำโครงการพิเศษอย่างมีคุณภาพ
ก็สามารถขอรับเงินสนับสนุนได้อย่างประหยัด
ตามความจำเป็นเหมาะสมสภาพเศรษฐกิจของท้องถิ่น
ส่วนสถานศึกษาที่จัดการเรียนการสอนนอกเหนือหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพการศึกษาแก่นักเรียน
สามารถขอรับการสนับสนุนจากผู้ปกครองนักเรียนได้ โดยกรณีที่ 1
โรงเรียนที่จัดห้องพิเศษ English Program
ระดับก่อนประถมศึกษาจนถึงมัธยมต้น ไม่เกิน 35,000 บาท
ต่อคนต่อภาคเรียน มัธยมปลายไม่เกิน 40,000 บาท ห้องเรียนพิเศษ Mini Program ระดับก่อนประถมถึงมัธยมต้นไม่เกิน
17,500 บาท มัธยมปลาย ไม่เกิน 20,000 บาท ห้องเรียนพิเศษด้านภาษาต่างประเทศ
ด้านวิชาการ และอื่นๆ
เช่นห้องเรียนวิทยาศาสตร์ให้เรียกเก็บต่อคนต่อภาคเรียนเท่าที่จำเป็น
ซึ่งการเรียกเก็บเงินบำรุงการศึกษานี้จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานก่อน
จึงจะทำได้พร้อมกับต้องประชาสัมพันธ์ให้ผู้ปกครองทราบด้วย.
ข่าวโดย บุญญฤทธิ์ ตุลาพันธ์พงศ์
ข่าวโดย บุญญฤทธิ์ ตุลาพันธ์พงศ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น