24 พฤศจิกายน 2566 – ลุดวิก เอเบิร์ก โปรกอล์ฟวัย 24 ปีจากสวีเดน ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์แรกในเวทีพีจีเอทัวร์อย่างรวดเร็วจากรายการ อาร์เอสเอ็ม คลาสสิค ที่สนามซีไอส์ แลนด์ กอล์ฟ คลับ รัฐจอร์เจีย หลังจบจากพีจีเอทัวร์ ยูนิเวอร์ซิตี้ ในฐานะนักกอล์ฟมือวางอันดับหนึ่ง และเพิ่งเข้าร่วมแข่งขันในศึกพีจีเอทัวร์ในฐานะนักกอล์ฟอาชีพเพียง 11 รายการ โดยทำสกอร์ 9 อันเดอร์พาร์ 61 สองวันติดต่อกันในสองรอบสุดท้าย เอาชนะคู่แข่ง 4 สโตรก (ภาพ: Getty Images)
ความสำเร็จดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด เพราะก่อนหน้านั้นเอเบิร์กก็ได้แชมป์ดีพีเวิลด์ ทัวร์ ในการลงเล่นในทัวร์รายการที่ 6 เท่านั้น ซึ่งผลงานดังกล่าวทำให้ ลุค โดนัลด์ กัปตันทีมยุโรปเลือกเขาติดทีมไรเดอร์ คัพ ยุโรป ทั้งนี้การคว้าชัยชนะเหนือ แม็คเคนซี ฮิวจ์ส ที่สนามซีไอส์แลนด์ เอเบิร์กทำสถิติใหม่หรือเทียบเท่าสถิติเดิมในทัวร์ 6 รายการ หนึ่งในนั้นคือสกอร์รวมที่เขาทำได้ 29 อันเดอร์พาร์ 253 ถือเป็นสถิติสกอร์รวมต่ำสุดในการแข่งขัน 72 หลุมในศึกพีจีเอทัวร์ เทียบเท่า จัสติน โทมัส เคยทำไว้ในรายการโซนี่ โอเพ่น เมื่อปี 2017 ที่ฮาวาย และยังทำลายสถิติสกอร์รวมแชมป์รายการนี้ 7 สโตรก
ขณะเดียวกันสกอร์ 61 ถือเป็นสถิติผลงานต่อรอบที่ดีที่สุดของเอเบิร์กในพีจีเอทัวร์เช่นกัน และการตี 61 ในวันอาทิตย์ยังเทียบเท่าสถิติสกอร์ต่ำสุดในรอบสุดท้ายของแชมป์ในปีนี้ เทียบเท่ากับที่ วิคเตอร์ ฮอฟแลนด์ เพื่อนร่วมทีมไรเดอร์คัพจากนอร์เวย์ทำได้ในรายการบีเอ็มดับเบิลยู แชมเปี้ยนชิพ ทำให้โปรกอล์ฟชาวสวีเดนรายนี้มีผลงานตี 65 หรือดีกว่ารวม 12 ครั้งในการลงเล่น 42 รอบในทัวร์ในฐานะนักกอล์ฟอาชีพ
นอกจากนี้เอเบิร์กซึ่งแพ้เพลย์ออฟในรายการแซนเดอร์สัน ฟาร์มส์ แชมเปี้ยนชิพ เมื่อเดือนตุลาคม ยังเสียเพียงโบกี้เดียวในการแข่งขัน 72 หลุมที่สนามซีไอส์แลนด์ กอล์ฟ คลับ ซึ่งเป็นสถิติเสียโบกี้น้อยที่สุดเป็นอันดับ 2 ของผู้ชนะในทัวร์ฤดูกาลนี้ โดยอันดับหนึ่งยังเป็น ทอม คิม ที่ทำสถิติไร้โบกี้ในการป้องกันแชมป์ ไชรเนอร์ส ชิลเดรนส์ โอเพ่น เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
เอเบิร์กทำผลงานโดยรวมได้อย่างยอดเยี่ยม สถิติการพัตต์รั้งอันดับ 4 ค่าเฉลี่ยสโตรกพัตต์เมื่อตีออนตามเรคกูเลชัน (Putts per Greens in Regulation) รั้งอันดับ 5 สถิติตีไกล (Driving Distance) และอันดับ 5 กรีนส์อินเรคกูเลชัน (Greens in Regulation) และอันดับ 6 สถิติแม่นแฟร์เวย์ (Fairways Hit) นอกจากนี้ค่าเฉลี่ยสโตรกพัตต์สนามนี้อยู่ที่ 3.52 เป็นสถิติดีที่สุดอันดับ 3 ของตำแหน่งแชมป์ในพีจีเอทัวร์
ในจำนวน 26 เบอร์ดี้ที่สนามซี ไอส์แลนด์ 18 ครั้งทำได้ในหลุมพาร์ 4 เปอร์เซนต์การทำเบอร์ดี้ที่หลุมพาร์ 4 อยู่ที่ 39.13 หรือดีกว่า ถือเป็นสถิติดีที่สุดของตำแหน่งแชมป์อาร์เอสเอ็ม คลาสสิค
คาเมโล่ วิลเลกาส คว้าชัยรายการบัตเตอร์ฟิลด์ เบอร์มิวด้า แชมเปี้ยนชิพ
ในอีกสนามหนึ่ง คามิโล่ วิลเลกาส เข้าสู่การแข่งขันกอล์ฟรายการ บัตเตอร์ฟิลด์ เบอร์มิวด้า แชมเปี้ยนชิพ โดยเตรียมลงเล่นคิวสคูลสเตจสุดท้ายเพื่อคว้าตั๋วลุยศึกพีจีเอทัวร์ต่อ แต่โปรกอล์ฟจากโคลัมเบียมีโมเมนตัมที่ดีจากการได้รองแชมป์รายการเวิลด์ ไวลด์ เทคโนโลยี แชมเปี้ยนชิพ ที่เม็กซิโก ในสัปดาห์ก่อนหน้านั้น
ดังนั้น ถือว่ามีหลายอย่างเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางสำหรับโปรกอล์ฟชื่อดังจากโคลัมเบีย การทำได้มากกว่า 30 เบอร์ดี้ ในการแข่งขันที่เม็กซิโก ถือเป็นสถิติการทำเบอร์ดี้สูงสุดในอาชีพของเขา และยังทำผลงานสี่รอบด้วยสกอร์ 60 กว่าสโตรกตลอดสี่วัน ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 11 ในการเล่นอาชีพ และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2017 ในรายการวินด์แฮม แชมเปี้ยนชิพ
ในการแข่งขันที่สนามพอร์ต รอยัล กอล์ฟ คอร์ส วิลเลกาสทำสถิติตี 65 สองวันติดต่อกันในสองรอบสุดท้าย สกอร์รวม 24 อันเดอร์พาร์ เทียบเท่าสถิติสกอร์รวมต่ำสุดของทัวร์นาเมนต์นี้ โดยเอาชนะ อเล็กซ์ นอร์เรน อันดับสองจากสวีเดน 2 สโตรก เป็นการคว้าแชมป์พีจีเอทัวร์ รายการที่ 5 ในอาชีพ ชัยชนะดังกล่าวเกิดขึ้นถัดจากการคว้าแชมป์พีจีเอทัวร์รายการ วินด์แฮม แชมเปี้ยนชิพ ปี 2014 เป็นเวลา 3,374 วัน วิลเลกาสร่วมฉลองแชมป์กับ นิโก้ เอชาวาร์เรีย เพื่อนร่วมชาติในฐานะนักกอล์ฟโคลัมเบียที่คว้าแชมป์ในพีจีเอทัวร์ปีนี้ และเป็นนักกอล์ฟอายุมากกว่า 40 ปีคนที่สามที่ชนะในปีนี้
ขณะเดียวกันวิลเลกาส ยังมีตีสถิติตีออนกรีนเป็นอันดับหนึ่งของสนามนี้ โดยมีอัตราเฉลี่ยการตีกรีนส์อินเรคกูเลชั่น 59 จาก 72 หลุมและทำไป 27 เบอร์ดี้ โดยในการแข่งขัน 32 หลุมสุดท้ายไม่เสียโบกี้เลย
เอริก ฟาน รูเยน มอบแชมป์ให้เพื่อนป่วยมะเร็ง
เอริก ฟาน รูเยน ออกสตาร์ทไม่ดีนักในรายการ เวิลด์ไวด์ เทคโนโลยี แชมเปี้ยนชิพ ที่เอล คาร์ดินัล ประเทศเม็กซิโก โดยประเดิมหลุมแรกเสียโบกี้ในหลุมพาร์ 5 แต่มาแก้มือทำเบอร์ดี้ระยะ 35 ฟุต ในหลุมที่ 2 และคว้าโอกาสการทำเบอร์ดี้ได้ทั้งหมดในการแข่งขัน 9 หลุมหลังของรอบสุดท้ายตี 28 คว้าแชมป์ไปครองได้ในที่สุด
ฟาน รูเยน หวดรอบสุดท้ายด้วยสกอร์ 63 เอาชนะอันดับสองร่วม คามิโล่ วิลเลกาส และแมตต์ คูชาร์ สองสโตรก ปิดฉากด้วยเบอร์ดี้-เบอร์ดี้-อีเกิ้ล กลายเป็นผู้เล่นคนแรกทำสกอร์ 4 อันเดอร์พาร์ หรือดีกว่าในการเล่น 3 หลุมสุดท้าย นับตั้งแต่ริกกี้ ฟาวเลอร์ คว้าแชมป์เดอะ เพลเยอร์ส แชมเปี้ยนชิพ ในปี 2015
โปรกอล์ฟจากแอฟริกาใต้ ซึ่งมอบชัยชนะเป็นกำลังใจเพื่อนสนิทที่ป่วยมะเร็งผิวหนังระยะสุดท้าย ยังเป็นนักกอล์ฟคนแรกที่ทำอีเกิ้ลปิดท้ายในหลุมที่ 72 และคว้าแชมป์ไปครอง นับตั้งแต่ ฮิเดกิ มัตสึยาม่า ชนะรายการโซโซ แชมเปี้ยนชิพ เมื่อปี 2021 ขณะเดียวกันสกอร์ 63 ในรอบสุดท้าย ถือเป็นการตีต่ำกว่าพาร์ ครั้งที่ 13 ติดต่อกันของเขา โดยเจ้าตัวกล่าวหลังคว้าแชมป์ว่า “ผมแค่มุ่งมั่นและต้องพัตต์เจ๋งๆ ในหลุมที่ 16, 17 และ 18”
ทั้งนี้ พัตเตอร์ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ฟาน รูเยน คว้าแชมป์พีจีเอทัวร์ รายการที่สองในอาชีพของเขา โดยในการแข่งขันครั้งนี้ โปรกอล์ฟจากแอฟริกาใต้มีสถิติการพัตต์เป็นอันดับ 3 โดยทำไป 118 พัตต์ ถือเป็นสถิติดีที่สุดของเขาตลอดสัปดาห์ เขาทำ 25 พัตต์ในรอบสุดท้าย และมีค่าเฉลี่ยกรีนอินเรคกูเลชั่นเป็นอันดับ 2 รวมทั้งเป็นนักกอล์ฟต่างชาติคนที่สามที่ได้แชมป์รายการนี้
อีกหนึ่งช่องทางการติดตามข่าว
https://www.blockdit.com/posts/6560906bfa1a17a58fb26821
Reference
pgatour.com
***************