หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ข่าว ; ชาวนาเชียงใหม่ประสบเคราะห์กรรมซ้ำ หลังน้ำท่วมลดโดนหอยเชอรี่ถล่มหนัก

เชียงใหม่ประสบปัญหาหลังน้ำลดเนื่องจากมีหอยเชอรี่ระบาดเกาะกินต้นกล้าและต้นข้าวที่เพิ่งปักดำในนา ซึ่งหลายพื้นที่อาจต้องปลูกใหม่ เกษตรกรดอยสะเก็ดวอนทางราชการเร่งช่วยเหลือเพราะท้องถิ่นช่วยด้วยยาปราบศัตรูพืชยังไม่เพียงพอ

ที่ทุ่งนาบ้านหมู่ 1 ต.สันปูเลย อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ เกษตรกรหลายรายกำลังเผชิญปัญหาการระบาดของหอยเชอรี่จำนวนมาก ทั้งที่เป็นตัวแล้วและที่วางไข่สีชมพูอีกมากมาย หอยดังกล่าวถูกพัดพามากับน้ำหลากในช่วงวิกฤติน้ำท่วมที่ผ่านมา ทั้งน้ำจากเขื่อนแม่กวงอุดมธาราและน้ำจากชลประทานแม่แฝกรวมทั้งน้ำป่า เพียงไม่กี่วันต้นกล้า และต้นข้าวที่เพิ่งปักดำใหม่เสียหายไปแล้วนับร้อยไร่ นายมิตร คำราพิศ อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 79 หมู่ 1 ต.สันปูเลย เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เพิ่งปักดำข้าวได้ไม่กี่ไร่จากพื้นที่ทำนาปีของครอบครัวทั้งหมด 16 ไร่ ขณะนี้ถูกหอยเชอรี่กัดกินต้นข้าวไปแล้วหลายไร่ และยังกัดกินต้นกล้าที่เพิ่งหว่านไป พร้อมกับวางไข่สีชมพูอยู่เกลื่อยกลาด

เกษตรกรรายดังกล่าวบอกด้วยว่า ได้แจ้งไปยังเทศบาลตำบลสันปูเลยเพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งก็ได้รับยาอาปาทอป สำหรับกำจัดศัตรูพืชมาฉีดพ่นแต่ไม่สามารถจะต้านทานได้ เมื่อน้ำหลากเข้ามาครั้งนี้หอยเชอรี่ได้ลอยมาเข้านาจำนวนมาก หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่กำจัดก็น่าจะมีการระบาดมากยิ่งขึ้น และที่สุดต้นข้าวใหม่ก็จะไม่เหลืออะไรเช่นเดียวกับพื้นที่ที่เสียหายไปแล้ว ต้นข้าวถูกกัดจนเป็นวงกว้างคาดว่าจะต้องปักดำซ่อมใหม่ จึงอยากวิงวอนไปถึงเกษตรอำเภอหรือเกษตรจังหวัดออกมาช่วยเหลือเช่นในอดีต เมื่อถึงฤดูระบาดของหอยเชอรี่ ทางราชการก็จะรณรงค์กำจัดด้วยการรับซื้อตัวละ 25 หรือ 50 สตางค์ บางแห่งนำไปประกอบอาหาร แต่ชาวบ้านไม่นิยมเพราะเกรงจะมีสารพิษ ยกเว้นนำไปเป็นอาหารเป็ดเนื่องจากเป็ดจะชอบมาก

ทางด้านนายสมาน ทัดเที่ยง ประธานผู้ใช้น้ำลุ่มน้ำแม่กวง และสมาชิกสภาเทศบาลตำบลสันนาเม็ง อ.สันทราย กล่าวว่า การระบาดของหอยเชอรี่มีมาตลอดทุกปี ซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงของท้องถิ่นที่จะต้องให้ความช่วยเหลือเกษตรกร ซึ่งท้องที่ ต.สันนาเม็ง ก็เพิ่งจัดโครงการรณรงค์เก็บหอยเชอรี่เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยรับซื้อกิโลกรัมละ 5 บาท ส่วนไข่สีชมพูของหอยเชอรี่รับซื้อถึงกิโลกรัมละ 30 บาท เพื่อนำมาทำลาย โดยเฉพาะตัวหอยเชอรี่นั้นได้นำมาโม่เป็นอาหารเป็ดหรือทิ้งลงในบ่อเป็นอาหารปลา จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งลงไปดูแลเกษตรกรตามแนวทางที่ทำแล้วได้ผลดังกล่าว


(ข่าว/ภาพ โดย บุญญฤทธิ์ ตุลาพันธ์พงศ์)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น